เมื่อฤดูใบไม้ร่วงมาเยือน ทุ่งชนบทของญี่ปุ่นจะถูกแต่งแต้มด้วยสีแดงสดจากดอกไม้ที่ผลิบานพร้อมกัน หนึ่งในนั้นที่สะดุดตามากที่สุดคือ “ฮิกังบะนะ” (彼岸花) หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ลิลลี่แมงมุมแดง” ดอกไม้นี้ไม่ใช่เพียงแค่ความงามจากธรรมชาติ แต่ยังแฝงไว้ด้วยมุมมองเรื่องชีวิตและความตาย ความเชื่อในพุทธศาสนา และวัฒนธรรมของหมู่บ้านญี่ปุ่น
บทความนี้จะพาคุณสำรวจความหมายอันลึกซึ้งของดอกฮิกังบะนะ ตั้งแต่ลักษณะทางธรรมชาติ ชื่อที่มีนัยสำคัญ ความเกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา ไปจนถึงบทบาทในวรรณกรรมและศิลปะ
ฮิกังบะนะคืออะไร?
ฮิกังบะนะ (Lycoris radiata) เป็นไม้ยืนต้นในวงศ์เดียวกับพลับพลึง จะออกดอกในช่วงวันวิษุวัตฤดูใบไม้ร่วงซึ่งเรียกว่า “ฮิกัง” ในพุทธศาสนาญี่ปุ่น กลีบดอกสีแดงสดม้วนโค้งเหมือนเปลวไฟ และออกเป็นกลุ่มท่ามกลางทุ่ง ก่อให้เกิดภาพที่น่าประทับใจ
ลักษณะเด่น
- ฤดูดอกบาน: กลางเดือนกันยายน (ช่วงฮิกังฤดูใบไม้ร่วง)
- ขณะออกดอกจะไม่มีใบ มีแต่ลำต้นและดอก
- ใบจะออกหลังจากดอกเหี่ยว
- ทุกส่วนของต้นมีพิษ โดยเฉพาะหัวใต้ดิน
“ฮิกัง” คืออะไร? พื้นฐานจากพุทธศาสนา
ในพุทธศาสนา “ฮิกัง” หมายถึง “ฝั่งโน้น” หรือภาวะแห่งการตรัสรู้ ตรงกันข้ามกับ “ฝั่งนี้” (此岸: ชิกัง) คือโลกแห่งกิเลสที่เราดำรงอยู่
วันวิษุวัตในฤดูใบไม้ผลิและใบไม้ร่วงเป็นวันที่ดวงอาทิตย์ขึ้นตรงทิศตะวันออกและตกตรงทิศตะวันตก ซึ่งเชื่อว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการระลึกถึงแดนสุขาวดีทางทิศตะวันตก จึงเกิดธรรมเนียมการเซ่นไหว้บรรพบุรุษในช่วงนี้
เนื่องจากฮิกังบะนะบานในช่วงเวลาดังกล่าว จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของสะพานเชื่อมระหว่างโลกนี้กับโลกหน้า หรือดอกไม้ที่นำทางดวงวิญญาณ
“มันจูซะเงะ” ดอกไม้มงคลในคัมภีร์พุทธ
ชื่อเรียกอื่นของฮิกังบะนะที่รู้จักกันดีคือ “มันจูซะเงะ” (曼珠沙華) ซึ่งปรากฏในคัมภีร์พุทธ โดยมาจากภาษาสันสกฤต “manjusaka” หมายถึงดอกไม้สีแดงที่งดงามจากสวรรค์ และเป็นลางดีที่เทพเจ้าประทานลงมายังโลก
แม้ในพุทธศาสนาดอกนี้จะมีความหมายเป็นมงคล แต่ในญี่ปุ่นกลับเชื่อมโยงกับความตายและโชคร้ายด้วยเหตุผลทางความเชื่อพื้นบ้านและการใช้สอยจริงในอดีต
ทำไมจึงถูกเรียกว่า “ดอกไม้แห่งความตาย” หรือ “ดอกไม้แห่งนรก”?
รูปลักษณ์ที่แปลกตาและพิษของฮิกังบะนะทำให้มีชื่อเรียกหลายชื่อที่ฟังดูน่าหวาดหวั่น เช่น:
ชื่อเรียก | ความหมาย |
ดอกไม้แห่งความตาย (死人花) | เพราะมักปลูกใกล้สุสาน |
ดอกไม้แห่งนรก (地獄花) | สีแดงสดและพิษทำให้นึกถึงนรก |
ดอกไม้แห่งเด็กที่ถูกทอดทิ้ง (捨て子花) | มีตำนานว่าเด็กที่ถูกฝังถูกปลูกดอกนี้ไว้บนหลุม |
คบเพลิงของสุนัขจิ้งจอก (狐の松明) | เพราะบานเป็นกลุ่มเหมือนไฟสว่างยามค่ำคืน |
แม้ชื่อเหล่านี้จะฟังดูหลอน แต่ก็มีพื้นฐานจากการใช้สอยจริง ในอดีตญี่ปุ่นใช้การฝังศพ และเพื่อป้องกันสัตว์ขุดคุ้ยศพ จึงปลูกฮิกังบะนะรอบสุสาน เพราะพิษของมันช่วยไล่สัตว์ และยังมีความหมายเป็นเครื่องปัดเป่าวิญญาณร้าย
ดอกไม้แห่งรักต้องห้าม: ใบกับดอกไม่มีวันพบกัน
หนึ่งในคุณสมบัติที่น่าทึ่งของฮิกังบะนะคือ ใบและดอกจะไม่ปรากฏพร้อมกัน ดอกบานเมื่อไม่มีใบ และใบจะงอกเมื่อดอกโรยแล้ว
จากลักษณะนี้ จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของ “คนรักที่ไม่มีวันได้พบกัน” คำสื่อความหมายของดอกไม้ก็สะท้อนความรู้สึกนี้ เช่น “ความทรงจำอันเศร้า” “วันที่เราจะได้พบกันอีกครั้ง” หรือ “การยอมแพ้”
ฮิกังบะนะในศิลปะ วรรณกรรม และวัฒนธรรมร่วมสมัย
กลอนไฮกุและตันกะ
ฮิกังบะนะเป็นคำแสดงฤดูใบไม้ร่วงที่ได้รับความนิยมในบทกวี เช่น:
曼珠沙華 あかきがゆゑに つゆあつめ
与謝野晶子 อาคิโกะ โยซาโนะ
มันจูซะเงะ ด้วยความแดงของเจ้า จึงเก็บน้ำค้างเอาไว้
วรรณกรรมสมัยใหม่และอนิเมะ
- “มันจูซะเงะ” โดย โนบุโกะ โยชิยะ: นวนิยายคลาสสิกที่กล่าวถึงความรักและความตายของหญิงสาว
- “ฮิกังจิมะ”: อนิเมะสยองขวัญที่เกิดขึ้นบนเกาะที่เต็มไปด้วยดอกฮิกังบะนะ
- ปรากฏในมังงะชื่อดังเช่น BLEACH และ Kimetsu no Yaiba ในฐานะสัญลักษณ์แห่งความตายและการกลับชาติมาเกิด
ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การชมและสถานที่แนะนำ
สถานที่ | ไฮไลต์ |
สวนฮิกังบะนะ คินจักคุดะ (จังหวัดไซตามะ) | ดอกกว่าห้าล้านต้นปกคลุมราวพรมแดง |
หมู่บ้านอาสึกะ (จังหวัดนารา) | ดอกไม้บานท่ามกลางซากอารยธรรมโบราณ |
วัดมันชูอิน (เกียวโต) | มีฮิกังบะนะสีขาวงดงามบานในความเงียบสงบ |
วามหมายของฮิกังบะนะสำหรับชาวญี่ปุ่น
ดอกไม้ดอกนี้ไม่ใช่เพียงแค่สิ่งมีชีวิตธรรมดา แต่เป็นสื่อกลางทางจิตวิญญาณที่ฝังแน่นในใจชาวญี่ปุ่น:
- เตือนให้นึกถึงสายสัมพันธ์กับบรรพบุรุษ
- เป็นสัญลักษณ์ของการเชื่อมโยงระหว่างชีวิตกับความตาย ความบริสุทธิ์กับมลทิน ความฝันกับความจริง
- ตัวแทนของความโศกเศร้า การอธิษฐาน และความงามสูงสุด
สรุป
ฮิกังบะนะไม่เพียงแต่สวยงามเท่านั้น แต่ยังเป็นดอกไม้ที่ฝังรากลึกในจิตวิญญาณ วัฒนธรรม และความเชื่อของชาวญี่ปุ่น สีแดงที่ราวกับเปลวไฟของมันไม่ใช่ความฉูดฉาด แต่คือความงดงามอันแสนเศร้า เปราะบาง และชั่วคราว
เมื่อคุณได้เห็นดอกฮิกังบะนะในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ลองใช้โอกาสนั้นน้อมรำลึกถึงวัฒนธรรม ความเชื่อ และเรื่องราวลึกซึ้งที่แฝงอยู่เบื้องหลังดอกไม้นี้ดูสักครั้ง
Comments