การเคลื่อนพู่กันที่“เชื่อมกระแสพลังชีวิต (気脈)” คืออะไร— พลังชีวิตที่สถิตอยู่ในเส้น

Sponsored links

เกริ่นนำ|พู่กันคือเครื่องมือถ่ายทอด “พลังชี่ (気)”

ในศิลปะการเขียนพู่กัน การเขียนตัวอักษรให้ได้รูปทรงสวยงามเพียงอย่างเดียว ยังไม่ถือว่าเป็นงานเขียนที่ยอดเยี่ยม หากปราศจาก “พลังชีวิตแห่งอักษร (気韻)” ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นผลงานที่มีชีวิต

กุญแจสำคัญคือ “กระแสชี่ (気脈)” ซึ่งหมายถึงกระแสพลังที่ไหลผ่านอย่างต่อเนื่องภายในการเคลื่อนพู่กัน — การสั่นสะเทือนของจิตวิญญาณนั่นเอง
ในโลกของการเขียนพู่กัน มีคำกล่าวว่า “เส้นคือลายทางของจิตใจ” ดังนั้นเส้นหนึ่งเส้นจะมีคุณภาพและลึกซึ้งเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับว่าพลังชีวิตของผู้เขียนไหลผ่านอยู่ในเส้นนั้นหรือไม่

“กระแสชี่ (気脈)” คืออะไร? — กระแสไร้รูปที่ไหลเวียนในเส้น

แนวคิดของ “กระแสชี่” มาจากปรัชญาตะวันออกเกี่ยวกับ “ชี่” ซึ่งหมายถึงพลังชีวิตและพลังงาน เมื่อนำแนวคิดนี้มาประยุกต์ใช้ในการเคลื่อนพู่กัน จะได้ลักษณะอุดมคติดังนี้:

  • เส้นแต่ละเส้นไม่ถูกตัดขาด
  • จังหวะและแรงของพู่กันไม่ติดขัด
  • พลังชี่ไหลอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นจนจบ

แม้จะมีจังหวะยกพู่กันกลางตัวอักษร ก็ไม่ควรให้กระแสพลังถูกตัดขาด การรักษากระแสนี้คือหัวใจของการพัฒนางานเขียน

การเคลื่อนพู่กันที่ “เชื่อมกระแสชี่” หมายถึงอะไร?

มองแต่ละเส้นไม่ใช่ “จุด” แต่เป็น “กระแสที่ต่อเนื่อง”

เส้นที่ยอดเยี่ยมในงานเขียนพู่กันไม่ใช่เพียงแค่การรวมของจุดและเส้นย่อย แต่เป็นการไหลอย่างต่อเนื่อง เช่นในอักษร “永” ซึ่งรวมเทคนิคการเขียนทั้ง 8 ไว้ การเคลื่อนพู่กันในจังหวะอย่าง “側 (การเอียง)”, “勒 (การหยุดอย่างหนัก)”, “挫 (การกด)” เมื่อต่อเนื่องกันได้ดี เส้นจะมีชีวิตชีวา

สิ่งสำคัญคือแต่ละเส้นต้องมีทิศทางและจังหวะที่สอดคล้อง โดยพลังชี่เป็นผู้กำหนด

แม้จะยกพู่กัน แต่ห้ามตัดขาด “กระแสชี่”

ในศิลปะการเขียน การยกพู่กัน (離筆) เป็นสิ่งที่จำเป็น แต่การแยกนั้นเป็นเพียงการยกออกจากกระดาษในทางกายภาพ จิตใจยังต้องเชื่อมโยงต่อเนื่อง เช่น ในสไตล์สแควร์ การหยุดหรือสะบัดพู่กันก็ควรฝึกให้ยังสามารถส่งพลังชี่ต่อไปสู่เส้นถัดไปได้

พลังชีวิตที่สถิตในเส้น — “気韻生動” คืออะไร

ในงานคลาสสิก เช่น “Lanting Xu” ของหวังซีจือ หรือ “Qianziwen” แบบสไตล์ตัวเขียน ของ Zhiyong เราสามารถเห็นการเคลื่อนพู่กันที่เต็มไปด้วยกระแสชี่
โดยเฉพาะในสไตล์ตัวเขียน หรือสไตล์การวิ่ง ตัวอักษรหลายตัวมักเชื่อมต่อกันอย่างต่อเนื่อง เสมือนว่ากระแสพลังชีวิตเป็นผู้นำทางพู่กัน และเส้นที่เขียนก็เปล่งเสียงเหมือนบทกวี
พื้นฐานของการแสดงออกที่ทรงพลังเหล่านี้ได้แก่:

  • จังหวะการหายใจและสัมผัสของผู้เขียน
  • ความสมดุลระหว่างแรงกดพู่กันกับความเร็ว
  • สมาธิแน่วแน่ที่ไม่ปล่อยให้กระแสพลังขาดช่วง

สิ่งเหล่านี้สะท้อนแนวคิดที่ว่า “ศิลปะการเขียนพู่กันคือเซน”

วิธีฝึกเพื่อไม่ให้ “กระแสชี่” ขาดตอน

  • ฝึกเขียนต่อเนื่อง (通筆)
    ฝึกเขียนเส้นให้ต่อเนื่องโดยไม่หยุดกลางทาง ทำซ้ำบ่อย ๆ จะช่วยให้ร่างกายจดจำการเคลื่อนพู่กันที่ส่งผ่านกระแสชี่ได้ แม้ในสไตล์สแควร์ ก็ควรพยายามเขียนให้ต่อเนื่องเท่าที่ทำได้
  • ใส่ใจการหายใจ
    มักโฟกัสแค่การเขียน แต่หากใส่ใจ “ลมหายใจ” พู่กันจะนิ่งขึ้น และจังหวะของชี่จะเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะในสไตล์ตัวเขียน การหายใจที่สอดคล้องกับการเคลื่อนพู่กัน จะก่อให้เกิดกระแสชี่ที่สวยงาม
  • สัมผัส เส้นนำทางระหว่างจุดและเส้น
    แม้ในอักษรง่าย ๆ อย่าง “口” ก็อย่ามองว่า “一”“丨”“一” เป็นการเคลื่อนพู่กันที่แยกจากกัน แต่ให้จินตนาการเหมือนวาดวงกลมหนึ่งวง ด้วยสำนึกเช่นนี้ จะช่วยพัฒนา “การเชื่อมกระแสชี่” อย่างเป็นธรรมชาติ

มุมมองต่อผลงานคลาสสิกจากมิติของ “กระแสชี่”

เมื่อชมอักษรกานะ หรือสไตล์ตัวเขียน อาจมีช่วงที่รู้สึกว่าเส้นนั้นสะท้อนกระแสใจของผู้เขียน นั่นไม่ใช่แค่ภาพลวงตา แต่เป็นเพราะผู้เขียนได้รักษากระแสชี่อย่างต่อเนื่อง

แม้ในงานคลาสสิกอย่าง Kōyagire แบบสไตล์สแควร์ ก็เห็นได้ชัดว่าเส้นของพู่กันนั้นเคลื่อนไปอย่างอ่อนโยนและมั่นคง โดยมีกระแสพลังชี่ทะลุผ่านทั่วกระดาษ
ในระหว่างการลอกเลียน (模写) หรือการฝึกคัดแบบ (臨書) ควรตั้งใจมอง “กระแสชี่” ก่อน “รูปทรง” จึงจะเข้าถึงแก่นแท้ของศิลปะการเขียนพู่กันได้

บทส่งท้าย|การสื่อ “จิตวิญญาณ” ผ่านเส้น

ศิลปะการเขียนพู่กันไม่ใช่แค่งานศิลป์ทางรูปทรง แต่มันเป็นโลกของ “気韻” ที่เกิดขึ้นได้เมื่อพู่กัน จิตใจ ลมหายใจ และเทคนิคประสานเป็นหนึ่งเดียว

“การเชื่อมกระแสชี่” ไม่ใช่เพียงเทคนิคของพู่กัน แต่คือการถ่ายทอดพลังภายในของตนลงบนกระดาษ
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ศิลปะการเขียนพู่กันคือการสนทนากับตนเอง และเป็นการถ่ายทอด “เส้นที่มีชีวิต” สู่ผู้ชมอย่างลึกซึ้ง

Comments