- บทนำ|ความหมายของการ “ถวายตัวหนังสือ”
- ความเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งระหว่างการเขียนกับวัฒนธรรมศาลเจ้า
- วัฒนธรรมของประชาชนที่ถวายคำอธิษฐานผ่านลายมือ
- การเขียนตัวอักษรถวายในยุคปัจจุบัน ── การสืบทอดและการแสดงออกใหม่
- ตัวอักษรกับความศักดิ์สิทธิ์ ── ทำไม “การเขียน” จึงกลายเป็นการอธิษฐาน
- สรุป|วัฒนธรรมแห่งการอธิษฐานที่ถ่ายทอดด้วยพู่กัน
บทนำ|ความหมายของการ “ถวายตัวหนังสือ”
เมื่อเราไปสักการะที่ศาลเจ้าชินโต มักจะพบกับแผ่นป้ายตัวอักษรขนาดใหญ่ ป้ายเอะมะ หรือคำขวัญที่เขียนด้วยหมึกจีน สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่การตกแต่งธรรมดา แต่เป็นการแสดงออกถึง “การเขียนตัวอักษรถวาย” ที่แฝงไว้ด้วยคำอธิษฐาน ความกตัญญู และความปรารถนาแด่เทพเจ้า
คำว่า “โฮโนะ (奉納)” หมายถึงการถวายสิ่งของ ศิลปะการแสดง หรือผลงานศิลป์แด่เทพเจ้าหรือพระพุทธเจ้า และการเขียนตัวอักษรก็ถือเป็นหนึ่งในรูปแบบสำคัญของการถวายนี้มาตั้งแต่อดีต โดยเฉพาะในศาสนาชินโต ที่เชื่อว่าคำพูดมีพลังวิญญาณ การเขียนจึงถือเป็นพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ในการส่งความปรารถนาไปถึงเทพเจ้า
ความเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งระหว่างการเขียนกับวัฒนธรรมศาลเจ้า
การถวายที่เชื่อมเทพเจ้ากับตัวอักษร
ในญี่ปุ่นโบราณมีความเชื่อเรื่อง “โคโตะดามะ” คือพลังลึกลับที่สถิตอยู่ในถ้อยคำ และสามารถเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงได้ ด้วยความเชื่อนี้ ตัวอักษรจึงถูกมองว่าศักดิ์สิทธิ์ และเหมาะสมที่จะนำไปถวายแด่เทพเจ้า
ตั้งแต่สมัยเฮอันเป็นต้นมา จักรพรรดิและชนชั้นสูงมักเขียนบทกวีญี่ปุ่น (วากะ) หรือบทกวีจีนเพื่อถวายแด่เทพเจ้า ไม่ว่าจะเพื่อขอพรให้สมปรารถนา ป้องกันภัย หรือประกอบพิธีกรรม ตัวอักษรที่ใช้มีทั้งสไตล์สแควร์ สไตล์การวิ่ง หรือแม้แต่สไตล์ซีล ทั้งนี้ การเขียนไม่ใช่เพียงแค่การสื่อสารความปรารถนา แต่ยังมีพลังในการชำระจิตวิญญาณอีกด้วย
การเกิดขึ้นของแผ่นป้ายตัวอักษรถวาย
แผ่นป้ายตัวอักษรที่แขวนไว้ในศาลเจ้าหลายแห่งเรียกว่า “เฮนกากุ (扁額)” มักมีชื่อศาลเจ้า พระนาม หรือถ้อยคำที่ยกย่องเทพเจ้า โดยมีลายมือของนักเขียนพู่กันหรือบุคคลสำคัญทางการเมืองปรากฏให้เห็น
ในยุคเอโดะ เหล่าขุนนาง นักเขียนพู่กัน และผู้มีเกียรติในท้องถิ่น ต่างก็แข่งขันกันเขียนป้ายเพื่อถวายแสดงความเคารพและศรัทธาของตน
วัฒนธรรมของประชาชนที่ถวายคำอธิษฐานผ่านลายมือ
การผสมผสานระหว่างเอะมะกับการเขียน
หนึ่งในรูปแบบที่ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้คือ “เอะมะ (絵馬)” ป้ายไม้รูปภาพที่เขียนคำอธิษฐานหรือบทกลอนด้วยพู่กัน นอกจากรูปวาดแล้ว บนเอะมะมักมีข้อความที่เขียนด้วยพู่กัน เช่น คำอธิษฐาน ชื่อ หรือบทกวี ซึ่งถือเป็นการหลอมรวมระหว่างศรัทธาและการเขียนอย่างแท้จริง
เอะมะบางชิ้นมีการเขียนอย่างสละสลวย เช่น สไตล์ตัวเขียน หรือสไตล์สแควร์ แสดงให้เห็นว่าผู้คนในยุคนั้นมีทักษะด้านการเขียนไม่น้อย
เทระโกยะกับการเขียนเพื่อศรัทธา
ในสมัยเอโดะ โรงเรียนเทระโกยะได้ส่งเสริมการเรียนรู้การเขียนพู่กันอย่างกว้างขวาง ทำให้ประชาชนทั่วไปสามารถ “เขียนเพื่อถวาย” ได้อย่างแพร่หลาย ตัวอย่างเช่น นักเรียนอาจถวายผลงานที่ตนฝึกฝนเพื่อขอให้เก่งขึ้น หรือสอบผ่าน ซึ่งกลายเป็นกิจกรรมทางศาสนาในหลายภูมิภาค
การเขียนตัวอักษรถวายในยุคปัจจุบัน ── การสืบทอดและการแสดงออกใหม่
นิทรรศการการเขียนตัวอักษรถวาย
ปัจจุบัน ศาลเจ้าหลายแห่งทั่วญี่ปุ่นได้จัดแสดงนิทรรศการการเขียนตัวอักษรถวาย ซึ่งประชาชนทุกเพศทุกวัยสามารถนำผลงานของตนมาถวายแด่เทพเจ้า โดยไม่ใช่เพียงการแข่งขันเท่านั้น แต่เป็นพิธีกรรมที่เปลี่ยนการเขียนให้กลายเป็น “การอธิษฐาน”
นอกจากนี้ ยังมีการเขียนตัวอักษรถวายเพื่อระลึกถึงผู้เสียชีวิต หรือเพื่อฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ ซึ่งทำให้ตระหนักถึงพลังของถ้อยคำที่สามารถเยียวยาและเชื่อมโยงจิตใจของผู้คนในสังคมได้อีกครั้ง
ความเป็นไปได้ของการเขียนตัวอักษรถวายในสังคม
- ใช้ศาลเจ้าเป็น “พื้นที่แห่งการอธิษฐานด้วยพู่กัน”
- การผลิตแผ่นป้ายขนาดใหญ่หรือจารึกโดยนักเขียนพู่กันมืออาชีพ
- กิจกรรมถวายตัวอักษรที่เชื่อมโยงกับการศึกษา (เช่น เขียนเพื่อเป็นที่ระลึกการจบการศึกษา)
สิ่งเหล่านี้ทำให้เราได้ทบทวนบทบาททางสังคมของการเขียนตัวอักษร และกลายเป็นสะพานเชื่อมระหว่างอดีตกับปัจจุบัน
ตัวอักษรกับความศักดิ์สิทธิ์ ── ทำไม “การเขียน” จึงกลายเป็นการอธิษฐาน
หัวใจสำคัญของการเขียนตัวอักษรถวาย คือแนวคิดแบบญี่ปุ่นที่ว่า “การเขียนคือการอธิษฐาน”
การเคลื่อนไหวของพู่กันคือการสะท้อนของจิตใจ การเลือกคำคือการแสดงความเคารพต่อเทพเจ้า และทั้งหมดนี้คือการกระทำที่เชื่อมถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ศาสนาชินโตมีรากฐานคือความเคารพต่อธรรมชาติและการดำรงอยู่ของทุกสิ่ง และการแสดงออกผ่านตัวอักษรคือวิธีหนึ่งที่แสดงความเคารพในรูปแบบที่มองเห็นได้ ซึ่งถือเป็นเสน่ห์สำคัญที่สุดของการเขียนตัวอักษรถวาย
สรุป|วัฒนธรรมแห่งการอธิษฐานที่ถ่ายทอดด้วยพู่กัน
แผ่นตัวอักษรที่ถวายไว้ในศาลเจ้า แทนคำอธิษฐานของผู้เขียน เป็นสัญลักษณ์แห่งศรัทธา และบางครั้งอาจสะท้อนชีวิตทั้งชีวิตของเขา
แม้ในยุคปัจจุบันที่เราต่างเร่งรีบ เราก็ยังสามารถตั้งสติ หยิบพู่กันขึ้นมา เขียนคำพูดที่ออกมาจากใจ เพื่อเผชิญหน้ากับ “การอธิษฐาน” ของเราเองได้
เมื่อศาลเจ้าถูกค้นพบอีกครั้งว่าเป็นสถานที่ที่สามารถเชื่อมจิตใจกับตัวเองผ่านการเขียน วัฒนธรรมของการเขียนตัวอักษรถวายก็ยังคงมีศักยภาพที่จะเติบโตและงอกงามอย่างไม่สิ้นสุด
Comments